คำถามที่พบบ่อย
ส่วนที่ 1: ข้อมูลบริษัทฯ
ส่วนที่ 1.1: จุดเด่นในการลงทุน
- เป็นบริษัทประกันชีวิตรายแรกและรายใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ที่เป็นแบรนด์ของไทยและก่อตั้งโดยคนไทย เมื่อพิจารณาจากเบี้ยประกันภัยรับรวม (ข้อมูลจากสมาคมประกันชีวิตไทย)
- มีเครือข่ายตัวแทนประกันชีวิตชั้นนำที่โดดเด่นและครอบคลุมทั่วประเทศ
- มีช่องทางการขายผ่านพันธมิตรและช่องทางการจัดจำหน่ายอื่น ๆ ที่เติบโตอย่างรวดเร็วช่วยเป็นจุดเชื่อมต่อกับลูกค้าทั่วประเทศ
- มีผลิตภัณฑ์ประกันภัยที่ครอบคลุม และมีนวัตกรรมการคิดค้น/นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เสมอ
- มีความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งเพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น
- มีคณะผู้บริหารชั้นนำซึ่งมีประสบการณ์สูงในตลาดประกันชีวิตของประเทศไทย และได้รับการสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ของ TLI คือ Meiji Yasuda Life Insurance Company ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น
กลยุทธ์การปรับราคาและการปรับสัดส่วนผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการและภาวะเศรษฐกิจ เช่น ในภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ บริษัทฯ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่อาจมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า รวมถึงจะเน้นนำเสนอกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีการเติบโตสูงและกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง เช่น ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทควบการลงทุน (Investment-linked) ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product) และสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ
- มีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ ด้วยโครงสร้างค่าตอบแทนที่เหมาะสม
- เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำลูกค้าได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัด
- สร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว
- สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อน ให้ความคุ้มครองระยะยาว ซึ่งมีอัตรากำไรที่สูง
แพลตฟอร์มการตลาดออนไลน์
- นอกจากแพลตฟอร์มดิจิทัลของบริษัทฯ แล้ว บริษัทฯ อยู่ระหว่างการหารือกับผู้ให้บริการบนตลาดออนไลน์เพื่อให้ลูกค้าสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ บนแพลตฟอร์มของผู้ให้บริการภายนอกได้ และคาดว่าผลิตภัณฑ์ที่จะนำเสนอในตลาดออนไลน์นั้นจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ซับซ้อนและมีราคาไม่สูง
ผลิตภัณฑ์ที่เสนอขาย
- สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ และสัญญาเพิ่มเติมประกันโรคมะเร็ง
- ผลิตภัณฑ์ที่สามารถออกแบบได้ตามความต้องการของลูกค้า เช่น สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ สัญญาเพิ่มเติมประกันโรคร้ายแรงและผลิตภัณฑ์เพื่อการลดหย่อนภาษี
- TLI เป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตเพียงไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นธนาคารพาณิชย์ ทำให้ TLI มีความยืดหยุ่นในการเป็นพันธมิตรกับสถาบันการเงินเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์
- พันธมิตรที่ TLI ได้เข้าทำสัญญาการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แต่เพียงผู้เดียว (Exclusive) ประกอบด้วย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารอาคารสงเคราะห์
- MY เป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น
- MY ได้เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์กับ TLI ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2556
- MY ได้ช่วยให้ TLI ได้รับโอกาสใหม่ ๆ ผ่านการสร้างความสัมพันธ์กับบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทย
- TLI ได้ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของ MY
- MY พร้อมที่จะสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจระหว่างประเทศที่บริษัทฯ อาจมีในประเทศเมียนมา ประเทศกัมพูชา หรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
MY จะยังคงให้การสนับสนุนเชิงกลยุทธ์แก่ TLI (Strategic Contributions) อีกทั้ง MY ประสงค์จะจองซื้อหุ้น IPO ของ TLI ที่ราคาเดียวกันกับนักลงทุนในครั้งนี้เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นของตนไว้ที่ร้อยละ 15 ของหุ้นที่ออกและชำระแล้วของ TLI หลัง IPO
ทางครอบครัวไชยวรรณจะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของ TLI ต่อไป เนื่องจากเชื่อมั่นในความมั่นคงและศักยภาพรวมถึงโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืนของ TLI ในภายภาคหน้า
TFRS 17 จะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทฯ และส่วนของผู้ถือหุ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากมีการเตรียมพร้อมในด้านการบริหารจัดการ วางแผนเกี่ยวกับเงินสำรอง และกลยุทธ์การออกผลิตภัณฑ์ไว้แล้ว
ส่วนที่ 1.2: การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล (Digital Transformation)
- พัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายใหม่ผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล ทั้งฟังก์ชันการขายบนเว็บไซต์ของบริษัทฯ และ Mobile Application ของธนาคารพันธมิตร
- พัฒนาเครื่องมือการขายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการขายสำหรับตัวแทนประกันและพันธมิตร อย่างเช่น
a. สำหรับตัวแทนประกันชีวิตของบริษัทฯ - พัฒนาชุดแอปพลิเคชัน MDA Plus ซึ่งประกอบด้วย 4 แอปพลิเคชันที่ให้การสนับสนุนด้านการขาย การให้บริการหลังการขาย การสรรหาบุคลากร และการบริหารจัดการทีมตัวแทน ซึ่งช่วยให้ตัวแทนสามารถปิดการขายแบบออนไลน์ได้
b. สำหรับธนาคารพันธมิตร - พัฒนาแอปพลิเคชัน Digital for Life สำหรับพนักงานขายเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัทฯ บนอุปกรณ์แท็บเล็ต
- บริษัทฯ อาจไม่สามารถให้ความเห็นได้ถึงกลยุทธ์ต่างๆ รวมถึง Digital Transformation ของบริษัทประกันชีวิตรายอื่น
- อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าการขับเคลื่อนสู่ยุดดิจิทัลของ TLI มีจุดเริ่มต้นที่ดี และการขับเคลื่อนดังกล่าวส่งผลให้ TLI สามารถใช้ประโยชน์ต่างๆ จากเทคโนโลยีสารสนเทศในด้านธุรกิจ เช่น
- สร้างเสริมประสบการณ์ของลูกค้า และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกค้า
- เพิ่มประสิทธิภาพของช่องทางการจัดจำหน่าย
- เพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการตัวแทนประกันชีวิต และช่วยเหลือตัวแทนในกระบวนการขาย
- เพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานและลดต้นทุนในการดำเนินงาน
- สร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงพฤติกรรมของลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์ และความสามารถในการพิจารณารับประกันภัย
ส่วนที่ 1.3: กลยุทธ์ทางธุรกิจ
- บริษัทฯ มีรากฐานมายาวนานกว่า 80 ปี และประสบความสำเร็จในการพัฒนาแบรนด์ “ไทยประกันชีวิต” ให้เป็นแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักอย่างดีว่าเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการประกันภัยชั้นนำของประเทศไทย
- การตัดสินใจเพื่อนำหุ้นของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นสอดคล้องกับวิสัยทัศน์และเป้าหมายในการเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนและความมุ่งมั่นสู่การเป็น Life Solutions Provider เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงและยั่งยืน รวมถึงในปัจจุบันบริษัทฯ เชื่อว่าบริษัทฯ มีความพร้อม และเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสม
เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจและเพิ่มศักยภาพในการเติบโตสำหรับอนาคต บริษัทฯ วางแผนที่จะใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้เพื่อ
- การลงทุนเพื่อพัฒนาด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) และการทำการตลาดที่เกี่ยวข้อง จำนวนประมาณ 2,000 ล้านบาท
- เสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่ายผ่านทางพันธมิตร จำนวนประมาณ 5,400 ล้านบาท
- เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน และสำหรับเงินทุนหมุนเวียนและวัตถุประสงค์อื่น ๆ จำนวนประมาณ 6,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ แผนงานของบริษัทฯ ในอนาคต และค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงอาจแตกต่างจากประมาณการข้างต้น
- TLI ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อยู่เสมอ เช่น พิจารณากำหนดกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการที่แปรผันตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้ พัฒนาแบบประกันสำหรับผู้สูงอายุหลากหลายแบบ รวมถึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แบบประกันเอ็กซ์ตร้า ซีเนียร์ สำหรับกลุ่มผู้สูงอายุ ซึ่งผู้ทำประกันไม่จำเป็นต้องตรวจสุขภาพ และจะได้รับเงินก้อนเมื่อผู้เอาประกันภัยมีอายุครบ 75 ปี นอกจากนี้ TLI ใช้ช่องทางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางโทรศัพท์เป็นหลักสำหรับผลิตภัณฑ์สำหรับผู้สูงอายุเนื่องจากสามารถเข้าถึงลูกค้าที่เป็นผู้สูงอายุได้ดีกว่า
- อีกทั้ง ความรู้ความชำนาญและประสบการณ์ของผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ MY ที่สั่งสมมาจากการดำเนินงานในสังคมผู้สูงอายุในประเทศญี่ปุ่น ทำให้ TLI เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงทางประชากรเป็นโอกาสที่ดีสำหรับอุตสาหกรรมประกันภัยในประเทศไทย
- เรามองว่าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ่านหลากหลายช่องทางการจัดจำหน่ายมีแต่ผลดีและการขายผ่านช่องทางใดช่องทางหนึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายผลิตภัณฑ์ผ่านอีกช่องทางอื่นใด
- ผลิตภัณฑ์แต่ละประเภทจะมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่เหมาะสมกับผลิตภัณฑ์ประเภทนั้น เช่น ผลิตภัณฑ์ที่ซับซ้อนแต่มีอัตรากำไรที่สูงจะขายผ่านตัวแทนเป็นหลัก ส่วนผลิตภัณฑ์ที่เข้าใจง่ายราคาไม่สูงสามารถขายผ่านช่องทางออนไลน์ตามที่ TLI วางแผนไว้ได้
- นอกจากนี้ การขายผลิตภัณฑ์ผ่านช่องทางออนไลน์จะช่วยเพิ่มฐานลูกค้า เช่น กลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่และลูกค้าที่รักการใช้เทคโนโลยี เป็นต้น
กลยุทธ์ของการนำเสนอผลิตภัณฑ์ของบริษัทเกิดจากวิสัยทัศน์และพันธกิจของบริษัท ซึ่งบริษัทเรามีวิสัยทัศน์คือความยั่งยืน กลยุทธ์ของเราเน้นการออกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนไหวต่อดอกเบี้ยน้อย เช่น ผลิตภัณท์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผล (Participating Product), ประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Link), สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ(Health Rider) โดยเราวางเป้าหมายสัดส่วนผลิตภัณฑ์ของธุรกิจใหม่ระยะยาว 5 ปีข้างหน้าที่จะมี Participating Product & Investment linked 50% Health rider 25% และอีก 25% คือผลิตภัณฑ์อื่นๆ กลยุทธ์นี้มีเป้าหมายคือต้องการให้บริษัทมี VONB margin ที่ยั่งยืนและมีการเติบโตของ VONB ท่ามกลางความผันผวนของดอกเบี้ย
มีความยั่งยืนของการสร้างผลกำไรมากกว่าสืบเนื่องจากกำไรส่วนมากมาจากส่วนที่ไม่ได้มีการการันตีผลตอบแทน ซึ่ง Par Product ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่อ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของอัตราดอกเบี้ยน้อย ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในการออกขายสู่ตลาดในยุคที่อัตราดอกเบี้ยมีความผันผวนสูง
ผลิตภัณท์แบบมีส่วนร่วมในเงินปันผลตัวใหม่ ของเราได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดและช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะช่วงครึ่งปีแรกของปีนั้น เนื่องจากสภาวะตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง จึงทำให้ผู้คนสนใจซื้อผลิตภัณท์ชนิดนี้มากขึ้น นี่จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า เราเชื่อว่ากลยุทธ์การออกผลิตภัณฑ์ของเราคือการทำให้ VONB margin มั่นคง ยั่งยืนในระยะยาว และ มีการเติบโตของ VONB ท่ามกลางความผันผวนของดอกเบี้ย
ส่วนที่ 1.4: การประเมินมูลค่าธุรกิจประกันชีวิต
- การประเมินมูลค่าของธุรกิจประกันชีวิตจะไม่ใช้วิธีเดียวกันกับการประเมินมูลค่าของธุรกิจประเภทอื่นๆ เช่น Price to Earnings (P/E) และ Price to Book Value (P/BV) เพราะผลกำไรในแต่ละปีของธุรกิจประกันชีวิตอาจไม่ได้สะท้อนถึงผลการดำเนินงานและมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทฯ เนื่องจากธุรกิจประกันชีวิตเป็นธุรกิจระยะยาว
- การประเมินมูลค่าของธุรกิจประกันชีวิตพิจารณาได้จาก Price to Embedded Value (P/EV) ซึ่งตัว Embedded Value เปรียบเสมือน Book Value ในธุรกิจประเภทอื่นๆ แต่สามารถสะท้อนได้ถึงมูลค่าธุรกิจในระยะยาว โดย Embedded Value สามารถสะท้อนมูลค่าผลประโยชน์ที่มีต่อผู้ถือหุ้นจากกรมธรรม์ที่ยังมีผลบังคับของบริษัทประกันชีวิต รวมถึงมูลค่าจากธุรกิจใหม่ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคตเป็นหลัก
Embedded Value ประกอบด้วยสองส่วน คือ
- Value of In-force Business (เงินสดหรือเบี้ยปีต่อที่บริษัทจะรับเข้ามาในอนาคต โดยไม่รวมกับเบี้ยที่ขายใหม่ แล้วคิดเป็น Present Value) บวกกับ
- Adjusted net worth (ส่วนต่างระหว่างมูลค่าตลาดของทรัพย์สินของบริษัท ลบกับ ภาระผูกพันต่างๆ ของบริษัททั้งหมด)
ในปัจจุบัน Embedded Value (“EV”) เป็นวิธีการประเมินมูลค่าบริษัทในอุตสาหกรรมประกันที่นิยมใช้กันมากที่สุด
ส่วนที่ 1.5: ผลกระทบจาก COVID-19
- เนื่องจากทางบริษัทฯ ไม่มีการเสนอขายผลิตภัณฑ์ประกันประเภท “เจอ จ่าย จบ” ดังนั้น ผลประกอบการของบริษัทฯ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคระบาดที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
- อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มีการจ่ายเงินผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19 ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดจากผลิตภัณฑ์ตามปกติของบริษัทฯ
ส่วนที่ 1.6: ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อมูลค่าธุรกิจของบริษัท
พอร์ตตราสารหนี้มีแนวโน้มได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามสภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ขณะที่ผลตอบแทนของหุ้นโดยปกติจะมีการเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับอัตราดอกเบี้ย ในช่วงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยปรับขึ้นเร็ว หุ้นมักจะมีผลตอบแทนที่ไม่ค่อยดีนัก
สามารถลงทุนในพันธบัตรต่างประเทศได้โดยต้องมี Rating อยู่ใน investment grade
ตามนโยบายทางบัญชี เราจะไม่ใช้วิธีการปรับมูลค่าของหลักทรัพย์ตามราคาตลาดล่าสุดสำหรับสินทรัพย์ทางการเงินประเภทถือจนครบกำหนดไถ่ถอน
ปกติแล้วบริษัทจะเปิดเผยตัวเลข VONB ทุกครึ่งปี และ EV ประจำทุกสิ้นปี
สืบเนื่องจากบริษัทเราให้ความสำคัญกับอัตราผลตอบแทนที่มั่นคง ยั่งยืน สม่ำเสมอ ไม่ผันผวน ซึ่งเราต้องการหลีกเลี่ยงอัตราผลตอบแทนที่อาจจะผันผวนช่วงสภาวะดอกเบี้ยที่ผันแปร และเราไม่อยากจะเก็งกำไรกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ย
บริษัทเปิดโอกาสสำหรับการซื้อกิจกาจหากมีโอกาสที่น่าสนใจเข้ามา โดยกิจกรรมการซื้อกิจการต่างๆ นั้นจะต้องได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังจากหักภาษีในแต่ละรอบปีบัญชี ทั้งนี้ บริษัทฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ก่อนการจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก ลิงค์ด้านล้างนี้ https://investor.thailife.com/en/financial-info/dividend-policy-and-payout
ส่วนที่ 1.7: คำศัพท์เกี่ยวกับธุรกิจประกันชีวิต
กรมธรรม์ประกันภัยหรือสัญญาประกันภัยที่ยังไม่หมดอายุ ไม่ครบกำหนดหรือไม่ถูกเวนคืนกรมธรรม์หรือสิ้นสุดอายุสัญญา
แนวทางปฏิบัติที่ผู้รับประกันภัยต่อตกลงชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เอาประกันภัยต่อสำหรับความรับผิดทั้งหมดหรือบางส่วนที่เกิดขึ้นของผู้เอาประกันภัยต่อภายใต้สัญญารับประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยต่อได้เข้าทำไว้โดยผู้เอาประกันภัยต่อจะชำระค่าเบี้ยประกันภัยให้กับผู้รับประกันภัยต่อเป็นค่าตอบแทนการรับประกันภัยต่อ
แนวทางปฏิบัติที่บริษัทฯ ในฐานะผู้โอนความเสี่ยงทั้งหมดหรือบางส่วนที่บริษัทฯรับประกันไว้ไปให้กับผู้รับประกันภัยต่อ และตกลงรับประกันภัยต่อช่วงในความเสี่ยงบางส่วนที่ผู้รับประกันภัยต่อมีต่อบริษัทประกันภัยอื่น โดยบริษัทฯ จะได้รับค่าเบี้ยประกันภัยเป็นค่าตอบแทน ซึ่งในกรณีดังกล่าวผู้รับประกันภัยต่อจะมีฐานะเป็นผู้เอาประกันภัยต่อช่วง (Retrocedant)
เหตุการณ์ที่ทำให้มีสิทธิในการเรียกร้องผลประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์ประกันภัย ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ โดยการได้รับชำระค่าสินไหมทดแทน นั้น อาจถูกจำกัด หรือถูกยกเว้นจากเงื่อนไขความคุ้มครอง
ค่าธรรมเนียมที่บริษัทประกันจ่ายให้กับตัวแทนประกันหรือนายหน้าประกันสำหรับการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการขายหรือการคงไว้ซึ่งผลิตภัณฑ์ประกันภัย
ค่าตอบแทนที่บริษัทประกันชีวิตได้รับจากการออกกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือการออกกรมธรรม์ประกันชีวิตอีกครั้ง (Reissued)
เบี้ยประกันภัยรับ ซึ่งได้รับจากกรมธรรม์ที่ผู้เอาประกันภัยมีหน้าที่ในการชำระเบี้ยประกันภัยครั้งเดียว
เบี้ยประกันภัยที่ได้รับในปีถัดไปสำหรับกรมธรรม์ประกันภัยที่มีอายุมากกว่าหนึ่งปี
เบี้ยประกันภัยที่ได้รับในปีแรกของกรมธรรม์ใหม่ที่ขายได้ โดยจะรวมเฉพาะเบี้ยประกันภัยสำหรับกรมธรรม์ที่ต้องมีการชำระเบี้ยประกันภัยอย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่กำหนด
การคำนวณที่ใช้กันโดยทั่วไปในอุตสาหกรรมประกันภัยเพื่อประเมินการขายผลิตภัณฑ์ประกันภัยของบริษัทประกัน ซึ่งคำนวณจากร้อยละ 100 ของมูลค่าเต็มปีของเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบจ่ายรายงวดทั้งหมดบวกด้วยร้อยละ 10 ของ เบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) ของทุกกรมธรรม์ที่ขายได้ในรอบระยะเวลาดังกล่าว
เบี้ยประกันภัยรับรวม ประกอบไปด้วย
- ร้อยละ 100 ของเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium)
- ร้อยละ 100 ของเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premiums)
- ร้อยละ 100 ของเบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) และ
- ร้อยละ 100 ของเบี้ยประกันภัยจากการรับประกันภัยต่อช่วง (Inward Premiums from Retrocession)
ทั้งนี้ เบี้ยประกันภัยรับรวมของบริษัทฯ จะไม่รวมส่วนของการลงทุนของผลิตภัณฑ์แบบประกันภัยยูนิตลิงค์ (Unit-linked)
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับการออกแบบโดยเปลี่ยนค่าเบี้ยประกันที่ลูกค้าชำระให้เป็นรายได้ประจำโดยมักจะเป็นไปเพื่อการเกษียณอายุ
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่รวมการออมและความคุ้มครองเข้าด้วยกัน โดยจะมีระยะเวลาคุ้มครองคงที่ตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งโดยทั่วไปมีระยะเวลาขั้นต่ำตั้งแต่ 3 ปีไปจนถึงระยะเวลาที่ยาวกว่า เช่น 30 ปี หรือมากกว่า โดยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment) จะมอบผลประโยชน์กรณีเสียชีวิตผลประโยชน์กรณีมีชีวิตอยู่ระหว่างอายุสัญญา และผลประโยชน์เมื่อครบกำหนดสัญญาเพื่อเป็นการตอบแทนสำหรับการชำระเบี้ยประกันภัย
ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลาให้ความคุ้มครองในกรณีเสียชีวิตและเจ็บป่วยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เพื่อแลกกับเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไป ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัยจากผู้รับประกันภัยในกรณีที่ผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตหรือผู้เอาประกันภัยจะได้รับจำนวนเงินเอาประกันภัยหากประสบเหตุการณ์อื่นที่ได้รับความคุ้มครองในระหว่างอายุของกรมธรรม์ โดยเมื่อกรมธรรม์ครบอายุ ความคุ้มครองจะสิ้นสุดและจะไม่มีการจ่ายผลประโยชน์เมื่อครบกำหนดสัญญา
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life) มีความคล้ายกับประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment) แต่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (WholeLife) จะให้ความคุ้มครองการเสียชีวิตจนถึงอายุครบ 90 ปีหรือ 99 ปี โดยจะจ่ายผลประโยชน์ครบกำหนดสัญญา ณ วันครบกำหนดสัญญาตามที่ระบุไว้ (ซึ่งในส่วนนี้จะคล้ายกับผลิตภัณฑ์แบบสะสมทรัพย์ (Endowment) ระยะยาว) เช่นเดียวกับผลิตภัณฑ์แบบสะสมทรัพย์ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบตลอดชีพอาจมีการจ่ายผลประโยชน์กรณีมีชีวิตอยู่ระหว่างสัญญาที่หลากหลายรวมถึงผลประโยชน์ที่ไม่มีการรับประกัน เช่น เงินปันผล หรือโบนัส
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบยูนิต ลิงค์ (Unit-linked) จะมีบัญชีที่เกี่ยวข้องซึ่งประกอบด้วยหน่วยลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนด้วยเบี้ยประกันภัยที่ชำระ(หลังหักค่าธรรมเนียมกรมธรรม์) มูลค่าบัญชีจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับราคาของหน่วยลงทุนที่จะเปลี่ยนไปตามสินทรัพย์อ้างอิงของกองทุนรวมที่ผู้เอาประกันภัยเลือกไว้ ด้วยเหตุนี้ ผลประโยชน์ของกรมธรรม์จึงเชื่อมโยงโดยตรงกับผลตอบแทนจากการลงทุน ทั้งนี้ ผลประโยชน์ตามกรมธรรม์มักจะรวมถึงการให้ความคุ้มครองเพิ่มเติม โดยสามารถชำระค่าผลประโยชน์เพิ่มเติมผ่านการหักหน่วยลงทุนจากต้นทุนประกันภัยหรือชำระเพิ่มเติมแบบสัญญาเพิ่มเติมทั่วไป
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) มีโครงสร้างที่คล้ายกับประกันชีวิตแบบยูนิต ลิงค์ (Unit-linked) โดยกรมธรรม์จะมีมูลค่าบัญชี โดยมูลค่าบัญชีซึ่งมาจากค่าเบี้ยประกันภัยที่ชำระ (หลังหักค่าธรรมเนียมกรมธรรม์และค่าผลประโยชน์คุ้มครอง) ความแตกต่างหลักระหว่างประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) และประกันชีวิตแบบยูนิต ลิงค์ (Unit-linked) คือ มูลค่าบัญชีของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) จะไม่ได้เชื่อมโยงโดยตรงกับผลตอบแทนจากสินทรัพย์ที่ลงทุน แต่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับผลตอบแทนตามที่บริษัทกำหนด (Crediting Rate) โดยพิจารณาจากผลตอบแทนการลงทุนและการแข่งขัน
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบยูนิเวอร์แซลไลฟ์ (Universal Life) และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบยูนิต ลิงค์ (Unit-linked)
- ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment)
- ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life)
- ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Life)
- ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำหรือแบบบำนาญ (Annuity)
ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ผู้เอาประกันภัยจะได้รับผลประโยชน์เพิ่มเติมจากปัจจัยบางประการ เช่น ผลการดำเนินงานด้านการลงทุน ทั้งนี้ เป็นไปตามที่ผู้รับประกันภัยกำหนด
มูลค่าส่วนได้เสียของผู้ถือหุ้นในธุรกิจปัจจุบันของบริษัทประกันชีวิต โดยใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ประกันภัย ซึ่งเป็นการประมาณการมูลค่าทางเศรษฐกิจของธุรกิจประกันชีวิตโดยอาศัยสมมติฐานเฉพาะเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคตตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัย โดยไม่รวมมูลค่าทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากธุรกิจใหม่ในอนาคต
ประมาณการทางคณิตศาสตร์ประกันภัยในการวัดมูลค่าของส่วนผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจประกันใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา โดยมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business หรือ VONB) เกิดจากการคำนวณมูลค่าปัจจุบันของกำไรหลังหักภาษีที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และหักด้วยต้นทุนของเงินทุนที่เกี่ยวข้อง
ผลรวมของเบี้ยประกันภัยรับปีแรก (First Year Premium) เบี้ยประกันภัยรับปีต่อไป (Renewal Premium) และเบี้ยประกันภัยรับจ่ายครั้งเดียว (Single Premium) ทั้งนี้ รายได้จากเบี้ยประกันภัยรับรวม (Total Premium Revenues) ไม่รวมเบี้ย ประกันภัยรับจากการรับประกันภัยต่อช่วง
การบอกเลิกสัญญากรมธรรม์โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์ตามที่กาหนดในสัญญาประกันภัย (ถ้ามี)
ผลประโยชน์ประกันภัยเพิ่มเติมแนบท้ายกรมธรรม์หลัก โดยผู้เอาประกันภัยจะได้รับความคุ้มครองเพิ่มเติม ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบของการเพิ่มความคุ้มครองของกรมธรรม์หลัก หรือผลประโยชน์อื่นนอกเหนือไปจากผลประโยชน์ภายใต้กรมธรรม์หลัก โดยผู้เอาประกันภัยจะต้องชำระค่าเบี้ยประกันภัยเพิ่มเติมสำหรับผลประโยชน์เพิ่มเติมดังกล่าว
มูลค่าการลงทุนที่บริษัทฯ เป็นผู้บริหารการลงทุนดังกล่าว ซึ่งรวมถึงเงินกู้
สมาคมประกันชีวิตไทย เป็นศูนย์รวมของผู้ประกอบธุรกิจประกันชีวิต และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อร่วมมือกันในการที่จะส่งเสริมพัฒนา ธุรกิจการประกัน ชีวิตให้เจริญก้าวหน้า
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tlaa.org/
เป็นหน่วยงานของรัฐ ที่ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลและส่งเสริมพัฒนาธุรกิจประกันภัยให้มีประสิทธิภาพ และคุ้มครองประชาชนให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากการประกันภัยอย่างครบถ้วน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของธรรมาภิบาล (Good Corporate Governance) และการปฏิบัติตามแนวทางธรรมาภิบาลที่เป็นสากล
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://www.oic.or.th/th/consumer
ร้อยละของมูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (Value of New Business หรือ VONB) ต่อเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (Annual Premium Equivalent หรือAPE) สำหรับธุรกิจใหม่ที่ขายได้ใหม่ในรอบระยะเวลารายงาน
ร้อยละของค่าเบี้ยประกันชีวิตเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (Gross Domestic Product หรือ GDP)
อัตราอุบัติการณ์และระยะเวลาของการเจ็บป่วยที่จะแปรผันตามปัจจัยต่าง ๆ เช่นอายุ เพศ และระยะเวลาตั้งแต่ทุพพลภาพ โดยอัตราดังกล่าวจะนำไปใช้ในการกำหนดราคาและคำนวณความรับผิดสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันอุบัติเหตุและผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ
อัตราการเสียชีวิตที่จะแปรผันตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น อายุ เพศ และสุขภาพ โดยอัตราดังกล่าวจะนำไปใช้ในการกำหนดราคา และคำนวณความรับผิดสำหรับผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำหรือแบบบำนาญ (Annuity) ซึ่งมีความเสี่ยงด้านอัตราการเสียชีวิต
อัตราการเติบโตหรือผลตอบแทนที่เกิดขึ้นตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดสิ้นสุดของระยะเวลา โดยเฉลี่ยต่อปีและคำนวณแบบทบต้น
การจ่ายเงินผลประโยชน์และค่าใช้จ่ายในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามสัญญาประกันภัยหารด้วยเบี้ยประกันภัยรับรวม
ร้อยละของเบี้ยประกันภัยรับที่ได้รับจากกรมธรรม์ที่จ่ายเบี้ยประกันภัยเป็นปีที่สองหารด้วยเบี้ยประกันภัยปีแรกจากกรมธรรม์ที่ออกในปีก่อนหน้า ซึ่งจะคำนวณเบี้ยประกันภัยจากกรมธรรม์ที่ยังมีผลบังคับใช้ภายในระยะเวลา 13 เดือน